ตำนานความรัก อีรอสและไซคี
ความรักระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เริ่มจากทั้ง 2 แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีและยังคงดำเนินต่อไปตราบนาน..........
ผู้เข้าชมรวม
1,002
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในครั้งโบราณกาล ยังมีพระชากรีกองค์หนึ่งซึ่งมีพระธิดาผู้งดงามสามองค์ โดยเฉพาะ”ไซคี” พระธิดาองค์เล็กนั้นงดงามที่สุด จนกล่าวได้ว่าความงามของไซคีนั้นแม้แต่บรรดาเทพธิดาและนางพรายที่ว่างามนักหนายังมิอาจเทียบได้ ดวงจันทร์และดวงตะวันที่เปล่งแสงบนฟากฟ้าก็ยังงามสู้ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยผู้นี้ไม่ได้ ผู้คนต่างเทิดทูนบูชาความงามของเธอราวกับเธอเป็นเทพธิดา ซึ่งชื่อ”ไซคี”นี้หมายความว่าจิตวิญญาณ ดั่งที่นางเป็นจิตวิญญาณและหัวใจของทุกคนในอาณาจักร
แต่ทว่าความงามกลับเป็นภัยแก่เธอ เมื่อเทพีอะโฟรไดทีนั้นริษยาความงามของเธอ เทพีแห่งความงามได้บัญชาอีรอสผู้เป็นบุตรชายคนโปรดให้ใช้ลูกศรทองคำทำให้เจ้าหญิงผู้เลอโฉมหลงรักสิ่งที่ชั่วร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด
อีรอสรับคำบัญชาจากมารดาก็รีบคว้าอาวุธแล้วกระพือปีกสีมุกบินผ่านปุยเมฆสีขาวรอบเขาโอลิมปัสลงไปยังพระราชวังอันเป็นที่อยู่ของไซคีทันที
เมื่อมาถึงพระราชวัง อีรอสก็บินเข้าไปในห้องของไซคีทางหน้าต่าง เทพเจ้าแห่งความรักก็มองเห็นไซคีนอนหลับอยู่บนเตียง จึงกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาลูกศรแทงแล้วค่อยเนรมิตรสิ่งแสนทุเรศให้เธอลืมตาขึ้นมาเห็นทันทีนี่แหล่ะ ว่าแล้วอีรอสก็ค่อยย่องเข้าไปใกล้ร่างไซคีพร้อมกับหยิบลูกศรออกมาเตรียมพร้อม
เมื่ออีรอสเงื้อมือขึ้นหมายจะแทงไซคี เธอก็ขยับใบหน้าและพลิกตัว อีรอสถึงกับตะลึงในความงามของเจ้าหญิงมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าจึงเผลอทำลูกศรหลุดมือแทง
ถูกตัวเอง
ผลก็เป็นดังที่มันเคยทำให้เป็นมานักต่อนัก หัวใจของอีรอสเต้นแรงขึ้นและหลงรักไซคีหมดหัวใจ เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายไซคีตามที่มารดาบัญชาได้เลย อีรอสได้แต่มองดูไซคีอย่างหลงใหลและบินกลับโอลิมปัสก่อนที่เธอจะตื่
เทพีอะโฟรไดทีสังเกตเห็นว่าบุตรชายคนโปรดที่เคยซุกซนได้เปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากโลกมนุษย์ จากที่เคยซุกซนก็เอาแต่เหม่อลอย ดูรวมๆแล้วเป็นอาการที่นางแทบไม่อยากจะคิด !!อีรอสกำลังตกหลุมรัก!
กล่าวถึงฝ่ายไซคี แม้ว่าเธอจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด ก็กลับไม่มีชายใดมาสู่ขอนางสักที จนพวกพี่ๆของเธอแต่งงานไปหมดแล้ว ทำให้พระราชาผู้เป็นบิดากลัดกลุ้มมาก จึงไปขอคำแนะนำจากวิหารของอะพอลโล ซึ่งก็ได้คำพยากรณ์มาว่า
“จงแต่งกายนางให้สง่า แล้วนำพาไปพงไพรสุดไกลห่าง อันสิ้นไร้ซึ่งผู้คนจะเดินทาง ณ.ใจกลางป่าไม้แห่งภูตพราย ปีกแห่งอสูรกายจักโบกบินมารับบุตรีเจ้า พาไปยังยอดสูงสุดของภูผาชัน เพื่อเป็นคู่ชีวันแห่งจอมนาคาผู้ยิ่งใหญ่ อำนาจนั้นไซร้เทียมโอลิมเปียนจอมเทวา”
พระราชาจึงต้องส่งไซคีไปยังเชิงเขาอันเป็นที่อยู่ของผู้อมตะเพื่อปกป้องอาณาจักร เจ้าหญิงน้อยก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวในตัวอสุรกายที่ต้องไปเผชิญ แต่แล้วเซฟีรุสเทพเจ้าแห่งลมตะวันตกก็หอบเอาร่างของเธอขึ้นไปยังยอดเขา
ไซคีต้องประหลาดใจที่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย มันสวยงามยิ่งกว่าพระราชวังแห่งกษัตริย์ใดๆเสียอีก ราวกับว่ามันเป็นดั่งที่อยู่แห่งเทพก็ไม่ปาน มีสวนอันร่มรื่นปลูกพันธุ์ไม้ที่แปลกตาสีสันระยิบระยับเหมือนเพชรพลอย น้ำพุบ่อใหญ่ก็พวยพุ่งสะท้อนแสงแดดอ่อนๆเป็นสีรุ้ง และมีทางเดินเป็นแผ่นหินอ่อนสีขาวทอดยาวไปสู่ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ และเธอก็ได้ยินเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้และเป็นสามีเธอ เขาบอกให้เธอไปไหนมาไหนในบ้านนี้ตามสบาย ซึ่งก็มีคนรับใช้ที่มองไม่เห็นคอยรับใช้ เสิร์ฟอาหารรสเลิศ และบรรเลงเพลงขับกล่อมยามที่เธอเข้านอน
ไซคีอยู่ที่คฤหาสน์แสนวิเศษอย่างมีความสุข ซึ่งเธอก็ไม่เคยเห็นเจ้าของคฤหาสน์ผู้เป็นสามีของเธอเลย เพราะเขาจะมาหาเธอในเฉพาะยามกลางคืนเท่านั้นและไม่ยอมให้เธอจุดตะเกียง แต่เขาก็ดีกับเธอมากจนเธอคลายความหวาดกลัวและคิดว่าเขาไม่ใช่อสูรกายที่โหดร้ายโดยแน่แท้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไซคีก็คิดถึงครอบครัวจึงขออนุญาตอีรอสให้พาพี่สาวมาเยี่ยมเธอ ซึ่งพี่สาวของเธอต่างแปลกใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่ พวกเธอคิดว่าไซคีคงจะถูกสัตว์ร้ายบนเขากินไปแล้ว เจ้าหญิงทั้งสองก็ตื่นตะลึงในความงามและความใหญ่โตอันเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่าของสถานที่ที่น้องสาวอาศัยอยู่ก็เกิดความริษยาขึ้นมา พวกเธอก็ซักไซ้เกี่ยวกับเจ้าของคฤหาสน์โดยไม่มีความเกรงใจ และ
เมื่อทราบว่าไซคีไม่เคยเห็นหน้าเขา พวกเธอก็พูดไปต่างๆนาๆว่า
“เขาอาจจะอัปลักษณ์อย่างสุดแสน หากมาตรแม้นต้องซ่อนกายถึงเพียงนั้น”
“หรือว่าเขาเป็นอสูรกายที่น่าสะพรึงกลัวกัน คอยขย้ำเมื่อเจ้ามิทันระวังตัว”
แม้ไซคีจะแก้ต่างว่าเขามีความอ่อนโยนและดีกับเธอมาก แต่พี่สาวอีกคนก็ยังต่ออีกว่า
“โธ่เอ๋ย!แม่น้องพี่ ก็เจ้าไร้เดียงสาเสียเพียงนี้ จะทันทีเล่ห์ปีศาจอย่างไรได้ ทุกคำหวานที่มันพร่ำพูดไป อาจกระหยิ่มในใจใช่พูดจริง”
เมื่อถูกพี่สาวทั้งสองพูดกรอกหูมากเช่นนี้ และเธอก็ยังไม่เคยเห็นหน้าอีรอสเลย ก็ทำให้ใจเธอก็ยิ่งหวั่นไหว
และพี่สาวทั้งสองกลับไป เจ้าหญิงน้อยก็รีบเอาตะเกียงและมีดไปซ่อนไว้ใต้เตียง
อีรอสก็มาหาเธอในตอนกลางคืนเช่นเคย
เมื่ออีรอสหลับ ไซคีก็หยิบตะเกียงขึ้นมาจุด แสงไฟที่ส่องไปยังร่างที่หลับใหลนั้นทำให้ไซคีตกตะลึง เพราะเธอกำลังเห็นชายที่รูปงามที่สุดที่เธอเคยเห็น เขาดูเป็นคนอ่อนโยนเฉกเช่นน้ำเสียงของเขาเวลาที่พูดคุยกับเธอ ใบหน้าของเขางามราวภาพวาดจากหัตถ์แห่งเทพ กลางหลังมีปีกสีขาวมุกส่องประกายเรื่อเรือง และผิวกายของเขาเปล่งประกายคล้ายเป็นรัศมีอ่อนๆแห่งราชรถอพอลโล
ไซคีมองอีรอสและหลงรักเขาเต็มหัวใจทันที ความหวาดระแวงทั้งปวงได้หายไป แล้วเธอก็ค่อยๆขยับตัวจะเก็บตะเกียง แต่น้ำมันร้อนหยดหนึ่งก็หยดลงบนแขนของอีรอส เขาก็ลืมตาสีไพลินขึ้นทันที ใบหน้างดงามดูเจ็บปวดใจ
“เจ้าฝ่าฝืนคำข้า” อีรอสพูดและกางปีกสีมุกบินออกไปทางหน้าต่างทันที เสียงกังวาลดังมาตามสายลม “เราไม่อาจอยู่ร่วมชายคาต่อไปได้ หากสิ้นไร้ความเชื่อใจและไว้ใจ ข้าก็ขอจากไปไม่รอรี”
ไซคีวิ่งตามและกระโดดออกจากหน้าต่าง แต่เซฟีรุสก็รับตัวเธอเอาไว้ได้ก่อนที่ร่างของเธอจะหล่นลงกระแทกกับพื้นจนร่างแหลกเหลว ซึ่งไซคีก็หมดสติไป
เจ้าหญิงน้อยตื่นขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดหัวใจในยามเช้า เธอรักอีรอสจนถอนตัวไม่ขึ้น ใจหนึ่งเธออยากตายไปเสียหากไม่มีเขา แต่เธอก็คิดได้ว่าจะมีประโยชน์อะไรเล่าหากเธอตายไป น่าละอายเสียเปล่า และเธอจะทำให้อีกหลายคนเสียใจกับการกระทำของเธอด้วย สู้ตามหาอีรอสและขอให้เขายกโทษให้กับความโง่เขลาของเธอจะไม่ดีกว่าหรือ
ว่าแล้วเธอก็เดินหน้าต่อไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง โดยหวังว่าไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องได้พบสามีของเธอแน่นอน
จนตกเย็น เธอก็มาถึงวิหารของเทพีเดมีเตอร์ ซึ่งเธอก็อ่อนล้าจากการเดินทางตากแดดตากลมมาทั้งวันเหลือเกิน จึงจะขอเข้าไปอาศัยร่มเงาของวิหานอนพักให้คลายเหนื่อย
แต่เมื่อเข้าไปในวิหารก็พบว่ามีกองพืชพันธุ์ธัญญาหารวางระเกะระกะไปหมด เห็นได้ชัดว่าพวกชาวไร่ชาวนานั้นเก็บเกี่ยวมาทั้งวันจึงอ่อนแรงเกินกว่าจะจัดวางให้เป็นระเบียบได้ ไซคีจึงจึงจัดการเก็บกวาดและเรียงผลผลิตเหล่านั้นให้สะอาดเรียบร้อย
ซึ่งเทพีเดมีเตอร์นั้นพอใจมากที่ไซคีช่วยเก็บกวาดวิหารให้ตน และทราบเรื่องราวของเธอและอีรอสดี จึงปรากฏกายให้เธอเห็นและแนะนำ
“ไซคีเอ๋ย เจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจดีมากคนหนึ่ง ข้ารู้ซึ่งสิ่งเจ้าต้องการ .เจ้าเดินทางยาวนานตามหาใคร”
“ .ฟังเถิดเจ้าหญิงผู้เป็นมิ่งแห่งวิญญา จงมุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งอะโฟรไดที และเอ่ยวจีสวดอ้อนวอน เจ้าอาจได้พรแห่งรักสมอุรา”
ไซคีก็ได้ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสางด้วยหัวใจเบ่งบาน เมื่อมาถึงวิหารแห่งอะโฟรไดที เธอก็ได้คุกเข่าลงและอ้อนวอนภาวนาให้อะโฟรไดทีช่วยให้เธอได้พบกับสามีอีกครั้ง
อะโฟรไดทีไม่เพียงจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของเธอ แต่ยังรับปากอีกด้วยว่าจะช่วย
อ๊ะ!อ๊ะ! อย่าคิดว่าเจ้าแม่แห่งความรักผู้นี้จะหายเกลียดชังเจ้าหญิงน้อยผู้งามกว่านางแล้วนะครับ
อะโฟรไดทีรับปากก็จริง แต่มีเงื่อนไขมหาหินมหาโหด 3 ข้อด้วยกัน ถ้าทำไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ต้องเลิกพูดกันทันที
ประการแรก หลังจากที่ไซคีได้พักผ่อนแล้วหนึ่งคืน อะโฟรไดทีก็พาเธอมาที่ห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งในห้องนั้นมีเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดปะปนกับเต็มพื้นไปหมด
“ดูเถิด บนพื้นมีเมล็ดมากมายหลายชนิด จงคัดแยกออกจากกันอย่าให้ผิด ก่อนอพอลโลผู้ศักดิ์สิทธิ์จะจากจร” อะโฟรไดทีกล่าว “แล้วข้าจะกลับมาในยามนั้น หากไม่ทันก็ไร้คำใดๆ เจ้าต้องไปให้ไกลก่อนราตรี”
ไซคีเห็นกองภูเขาย่อมๆของเมล็ดพืชหลากหลายนี้ ก็แทบอยากจะร้องไห้ แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง ถ้าเธอทำได้ทั้งหมด เธอก็จะได้พบอีรอส
ทางฝ่ายอีรอส ซึ่งยังคงรักเธอไม่เสื่อมคลายและแอบเฝ้าดูแลคุ้มครองเธอเสมอ ก็ได้ส่งกองทัพมดไปช่วยเธอ ซึ่งไซคีทั้งประหลาดใจและดีใจ ที่อยู่ๆก็มีมดมากมายเดินเข้ามาและช่วยคัดแยกเมล็ดพันธุ์ แรงงานแสนขยันนี้ก็คัดแยกเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดอย่างเรียบร้อยก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
ไซคีกล่าวขอบคุณพวกมด ซึ่งมันก็รีบแยกย้ายกันกลับรังเพราะมันได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว
เมื่อตะวันคล้อยต่ำดั่งจะจุมพิตห้วงธรณี เทพธิดาอะโฟรไดทีก็เยื้องย่างมายังมหาวิหารด้วยอารมณ์แสนสดใส ด้วยคิดว่าเจ้าหญิงน้อยนั้นทำงานที่ตนสั่งไม่ได้แน่ ยิ่งเห็นไซคีก้มหน้างุดเมื่อเห็นตนก็ยิ่งนึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ
แต่พอเข้าไปในห้องเก็บเมล็ดพืชแล้ว เจ้าแม่แห่งความรักและความงามก็ต้องเก็บอารมณ์โมโหแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าทั้งห้องนั้นสะอาดเรียบร้อย เมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดถูกแยกตามชนิดใส่ในแต่ละกระสอบที่วางเรียงรายอยู่ข้างฝา
อะโฟรไดทีเชิดใบหน้าขึ้นและมองไซคีที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานจริงใจให้นาง แต่สายตาของอะโฟรไดทีนั้นเย็นชาและเกลียดชัง นางกล่าวกับเจ้าหญิง
“จงยิ้มไปก่อนเถิดไซคี แต่อย่านึกจะมีทางชนะอีกต่อไป”
เทพีแห่งความงามก็ส่งขนมปังอันหยาบกระด้างให้ไซคี และนางก็จากไป
เมื่อดวงจันทราจากลาสุริยาเคลื่อนมาแทน อะโฟรไดทีก็มาหาไซคีอีก นาสั่งให้เจ้าหญิงน้อยข้ามแม่น้ำไปเก็บขนแกะจากฝูงแกะที่มีขนเป็นทองคำมาทุกตัว ซึ่งแกะพวกนี้มันดุร้ายมาก เทพีแห่งความงามก็ถามไซคีกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเยาะ
“แกะทองคำพวกนี้ ช่างมีฤทธีมากมาย หากว่าตัวนั้นเจ้ากลัวตาย จะกลับกายกลับใจก็ใคร่ทัน
แต่ไซคีก็ตอบด้วยความกล้า
“โอ้ ท่านเทวีผู้สูงศักดิ์ ข้ารู้สึกซึ้งใจนักที่ท่านห่วง หากยามนี้ข้าไร้ซึ่งสิ่งทั้งปวง จะแตกดับหรือโชติช่วงไม่ต่างกัน”
แล้วไซคีก็มุ่งหน้าออกจากวิหารไปยังสายธาร เธอก็เห็นฝูงแกะขนทองคำกำลังเล็มกินยอดหญ้าสีเขียวขจีอยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าหญิงน้อยจึงถลกชายกระโปรงขึ้นเหนือเข่าเพื่อเตรียมจะลุยน้ำ แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงที่ฟังเป็นมิตรดังขึ้นมา
“เจ้าหญิง เจ้าหญิง หยุดก่อนเจ้าหญิง หากไปในยามนี้ ก็เห็นทีวายชีวา เนื่องด้วยตอนนี้เชษฐาดวงจันทรา สถิตย์ฟ้าแสงส่องแสนเจิดจ้า แกะเลอค่ายิ่งแสนร้ายเหนือคณา จงรอก่อน..รอจนตะวันผ่อนอ่อนแสงล้า เมื่อนั้นมันจะหยุดนิ่งทอดกายา เข้าสู่ห้วงนิทราทุกตัวตน แล้วเจ้าจึงค่อยข้ามพ้นสายธารา เก็บเส้นทองคำที่ติดตามหนามพฤกษา นำไปถวายเทพธิดาผู้ต้องการ
ไซคีก็ทำตามคำแนะนำ เธอเฝ้าคอยจนบ่ายคล้อย ซึ่งดวงอาทิตย์ลดแสงอันร้อนแรงลง พวกแกะขนทองคำก็พากันล้มตัวลงนอนตามเงาไม้
เจ้าหญิงน้อยก็ข้ามลำธารและไปเก็บขนแกะที่ติดอยู่ตามไม้หนามจนได้เต็มกระสอบ แล้วจึงกลับไปหาอะโฟรไดที
เทพธิดาก็ยิ่งฉุนไปใหญ่ ที่ไซคีไม่ถูกฝูงแกะที่ดุร้ายรุมทำร้ายจนตายที่ไปเอาขนของมันมาอย่างนี้ นางก็ยื่นเปลือกขนมปังแข็งๆหนึ่งชิ้นให้ไซคีให้รับประทานเป็นอาหาร แล้วนางก็จากไปเช่นเดิม
ไซคีก็กัดขนมปังแสนอนาถานั้นด้วยความหิว แต่ในใจของเธอกลับมีแต่ความสุข เพราะเหลืองานเพียงชิ้นเดียวก็จะได้พบกับสามีผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอแล้ว เขาเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งหัวใจของเธอไว้ไม่ให้ยอมแพ้กับสิ่งยากลำบากต่างๆที่เผชิญมาแล้ว รวมถึงสิ่งต้องเผชิญต่อไปในภายภาคหน้า เธอล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนล้า และคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรรอเธออยู่
รุ่งเช้าอะโฟรไดทีก็มาบอกไซคีถึงภารกิจอย่างสุดท้าย
“สิ่งที่สามซึ่งข้าให้ทำนั้นแสนสบาย เพียงบ่ายหน้าไปยังเฮดีสที่มืดมิด มอบหีบทองปิดสนิทให้เปอร์เซฟโฟนี บอกว่าตัวข้านี้เทพธิดาอะโฟรไดที ขอแบ่งปันความโสภีจากจอมนาง”
เจ้าหญิงน้อยฟังก็ถึงกับอึ้ง งานชิ้นนี้เธอคงทำไม่ได้แน่ ฟังดูเหมือนจะง่ายก็จริง แต่ว่าไม่มีใครเข้าไปในเฮดีสทั้งที่เป็นๆนี่นา
เธอเดินไปก็ร้องไห้ไป แต่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยนที่เคยช่วยเธอไว้ก็ดังแว่วมาตามสายลม
“จะร้องไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า มาเถิด ข้าจะเล่าบอกเส้นทางข้างล่างให้ เช็ดน้ำตาแล้วนิ่งเถิดแม่ยาใจ ไม่มีสิ่งใดไซร้ไกลเกินจริง”
เสียงนั้นแนะนำเส้นทางที่ปลอดภัยโดยให้เธอลงเรือแจวข้ามแม่น้ำแอคเคอรอน ซึ่งจะมีชายแก่ชื่อแครอนเป็นคงพาย และเธอต้องจ่ายเงินให้เขา
จากนั้นก็ต้องผ่านเซอร์บิรัสสุนัขสามหัวซึ่งมีหางเป็นอสรพิษ เธอต้องอย่ากลัวและร้องเพลงให้มันฟัง แล้วมันก็จะสงบ ซึ่งเธอก็จะผ่านเข้าไปได้และให้ออกมาด้วยวิธีเดิม
แล้วเสียงนั้นยังย้ำอีก ว่าเธอจะต้องไม่กินอาหารของโลกบาดาลเป็นเด็ดขาด เพราะถ้าเธอกินเข้าไปเธอก็ต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล ซึ่งมันเป็นกฎที่ไม่มีใครฝืนได้ แม้แต่ผู้เป็น เทพอย่างเปอร์เซพโฟนีก็ยังต้องอยู่ที่นั่นตามจำนวนเมล็ดทับทิมที่กินเข้าไป
อีกทั้งเธอจะต้องไม่เปิดหีบเป็นอันขาด ไม่ว่าจะอยากรู้เพียงไรก็ตามว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน
ไซคีรับปากเสียงผู้ปรารถนาดีอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แล้วเธอก็ลงไปตามทางที่เขาบอก เธอจ่ายเงินให้แครอน ชายแก่ก็พาเธอข้ามไปเฮดีส พบกับเซอร์บิรัสก็กล่าววาจาอันอ่อนโยนและร้องเพลงให้มันฟัง มันก็กลายเป็นสุนัขเชื่องๆธรรมดาๆตัวหนึ่งเท่านั้น(ยกเว้นหัวสามหัว หางเป็นงู และตัวใหญ่อย่างกับยักษ์)
และเธอก็เข้าเฝ้าราชินีแห่งโลกบาดาล และบอกจุดประสงค์ที่มา
ซึ่งเปอร์เซฟโฟนีรับหีบแล้วก็ให้เธอนั่งรอ นางก็เข้าไปข้างใน ชั่วครู่เทวีแห่งเฮดีสก็ออกมาแล้วมอบหีบคืนให้ไซคี
เมื่อไซคีออกมาจากเฮดีสแล้ว เธอก็ใคร่รู้ว่าความงามที่อะโฟรไดทีให้มาขอจากเปอร์เซฟโฟนีมันมีหน้าตาอย่าไร และอีกนัยหนึ่ง เธอก็อยากได้ความงามสักนิดมาเติมให้ตนเอง เพราะหลังจากอีรอสจากไป เธอก็ทั้งรอนแรมมาไกลรวมถึงต้องตรากตรำทำงานอีก เธอคงจะดูโทรมลงกว่าเดิมลงไปถนัดตา เธออยากดูสวยให้มากที่สุดเมื่อได้เจออีรอส
เจ้าหญิงน้อยจึงเปิดหีบออก ซึ่งก็มีควันขาวดั่งหมอกพวยพุ่งออกมา แล้วสติเธอก็เลือนลงเข้าสู่ห้วงนิทรา
ฝ่ายอีรอส เทพหนุ่มไม่เห็นไซคีกลับมาเสียทีก็เป็นห่วง จึงกางปีกสีมุกแล้วบินไปดู ก็พบร่างอันไร้สติของไซคีทอดกายอยู่บนผืนหญ้า ข้างๆนั้นมีหีบทองคำซึ่งเปิดแง้มอยู่ อีรอสจึงรีบปิดหีบและช่วยให้ไซคีตื่นจากนิทรา
ไซคีค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความง่วงงันมิทันจาง แต่เมื่อเห็นใบหน้างามสง่าที่เธอไม่เคยลืม มนต์สะกดแห่งนิทรารมย์ก็หายไปสิ้น เธอยิ้มด้วยความดีใจเป็นสุดแสน ดูละม้ายดั่งมวลบุพผาจะเบ่งบานทั้งโลกด้วยรอยยิ้มของเธอ
อีรอสก็ชี้ให้ไซคีเห็นถึงความยุ่งยากที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของเธอ “ตระหนักมั่นไว้ในใจเถิด แม่ยอดรัก ที่เราสองต้องพรากไกลจักเหตุใด ถ้ามิใช่ความอยากรู้แห่งนงคราญ”
ไซคีก็สวมกอดอีรอสด้วยความคิดถึงและกล่าวให้เขายกโทษให้เธอ “ข้าขออภัยในเรื่องเก่าก่อน ที่ผ่านมามันได้สอน ยามดวงใจจากจรเป็นเช่นไร ในยามนี้และต่อไปจะมีไม่ สิ่งที่ข้ายึดมั่นคือเชื่อใจ มิสงสัยให้ท่านหลีกไกลดั่งแล้วมา”
อีรอสจึงพาไซคีไปยังโอลิมปัสและขอซีอุสให้มอบความเป็นอมตะให้กับเธอ ซึ่งซี- อุสก็มอบแอมโบรเซียในถ้วยทองคำมาให้ เมื่อไซคีดื่มเข้าไปก็รู้สึกถึงพลังแห่งความเป็นอมตะไหลเวียนไปทั่วร่าง ผิวขาวนวลของเธอเปล่งประกายเช่นชาวเทพ และความงามของเธอก็มากขึ้นกว่าเดิม
เทพทั้งปวงก็ปรากฏกายให้เธอเห็นและกล่าวต้อนรับเธอเข้าสู่ครอบครัว อะโฟรไดทีก็สิ้นซึ่งความเกลียดชังทั้งปวงต่อไซคี นางเข้าสวมกอดไซคีอย่างอบอุ่น
อีรอสและเจ้าหญิงไซคีก็ครองคู่กันอย่างมีความสุขตราบจนชั่วนิจนิรันดร์
ที่มาจาก http://www.jj-book.com/jjstory1/view.php?qs_qno=630
ผลงานอื่นๆ ของ Winterholly ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Winterholly
ความคิดเห็น